01
ผลกระทบของเวลาและแสงแดดต่อผิว
เนื่องจากเซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดความแข็งแรง การผลัดเซลล์ผิวเกิดช้าลง และมีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิวที่เพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้ผิวหมอง ไม่สดใส รวมทั้งเซลล์ผิวอุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ตัวการสำคัญที่เร่งให้ผิวเสื่อมหรือผิวแก่ก่อนวัย คือ แสงแดด เนื่องจากในแสงแดดเต็มไปด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (รังสียูวี) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
02
รังสียูวีเอ (UVA)
รังสียูวีเอ (UVA) ซึ่งเป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร สามารถผ่านทะลุผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซด์ (Melanocyte) ทำงานผิดปกติ คือ เกิดการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) เพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยเอนไซม์ “ไทโรสิเนส” (Tyrosinese) ทำให้สีผิวหมองคล้ำหรือเข้มขึ้นได้ สีผิวไม่สม่ำเสมอ รวมถึงเกิดกระและฝ้า นอกจากนี้ รังสียูวีเอ ยังสามารถผ่านทะลุไปถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งจะไปทำลายโครงสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังและเส้นใยอิลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยก่อนวัย
03
รังสียูวีบี (UVB)
รังสียูวีบี (UVB) ซึ่งเป็นแสงในช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร สามารถผ่านทะลุผิวชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น กระตุ้นให้เกิดกระ ฝ้า และจุดด่างดำ ผิวบวมแดงและแสบร้อน เกิดอาการไหม้แดด (Sunburn) และเมื่อได้รับรังสียูวีบีอย่างต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้
04
วิธีการป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลาย
วิธีการป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลายจากรังสียูวีในแสงแดด คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 09.00 น. ถึง 15.00 น. ซึ่งจะมีปริมาณรังสียูวีอยู่มาก หากจำเป็นต้องออกไปกลางแดด ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกปีกกว้าง หรือกางร่ม นอกจากหลีกเลี่ยงการเผชิกับแสงแดด ซึ่งเป็นการปกป้องผิวจากภายนอกแล้ว สิ่งสำคัญคือ การเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว บำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายใน ด้วยการเลือกรับประทานสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ในการต้านแดด ปกป้องเซลล์ผิวจากรังสียูวี และชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้
05
สารอาหารสำคัญในการปกป้องผิว
ไลโคปีน เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในไขมัน ทำให้พืชหรือผลไม้มีสีแดง เหลือง หรือส้ม พบมากในมะเขือเทศ โดยไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุดในกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้าแคโรทีน (-carotene) 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าแอลฟา โทโคฟีรอล (-tocopherol) 10 เท่า ซึ่งไลโคปีนจะช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด ลดความรุนแรงที่เกิดจากอาการผิวไหม้จากแสงแดด และช่วยชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย โดยการศึกษาวิจัยทางคลีนิก พบว่า ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด : การรับประทานไลโคปีน หรือมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีนในปริมาณ 8 - 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 10 - 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด และช่วยดูดซับรังสียูวีเอ และ รังสียูวีบี ทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้มากขึ้น และช่วยลดอาการผิวไหม้อันเกิดจากแสงแดด ทำให้ผิวไม่คล้ำเสียง่าย
ปกป้องผิวลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) : การรับประทานมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีน 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดดได้ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) โดยช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ไมโตคอนเดรียล (Mitochondrial) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ต่างๆในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ผิวด้วย และช่วยเพิ่มโปรคอลลาเจน (Procollagen) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้
เพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ : นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยพบว่า การรับประทานสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเช่น ไลโคปีน ร่วมกับ วิตามินอี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ ช่วยลดอาการผิวไหม้แดดและช่วยให้ผิวไหม้แดดหายได้เร็วขึ้น รวมทั้ง วิตามินอี ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอีกด้วย